ในช่วงนี้เราจะเห็นข่าวว่ารัฐบาลมีแนวคิดที่ต้องการเก็บภาษีมรดก ซึ่งล่าสุดสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช. ได้ลงมติรับหลักการร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันน่าจะอยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ และน่าจะออกใช้บังคับในเร็วๆนี้ ผมจึงขอเสนอข้อพิจารณาบางประการเกี่ยวเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าว โดยขอให้ดูประกอบกับร่าง พ.ร.บ. ภาษีการรับมรดก พ.ศ. … ที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอ (http://library.senate.go.th/document/mSubject/Ext34/34737_0001.PDF) ด้วยครับ ดังนี้
1. กฎหมายภาษีมรดก มีวิธีการจัดเก็บอยู่ 2 แบบ คือ (1) การจัดเก็บภาษีจากกองมรดกโดยตรง คือ เมื่อเจ้ามรดกตาย ทรัพย์สินของเจ้ามรดกจะกลายเป็นกองมรดก รัฐจะเข้ามาดำเนินการจัดเก็บภาษีทันทีเลย และ (2) การจัดเก็บภาษีจากการรับมรดก คือ การจัดเก็บภาษีเมื่อทายาทเข้ารับมรดกแล้ว สำหรับประเทศไทย ใช้วิธีที่ (2) ครับ
2. ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีเมื่อมีการรับมรดก อาจก่อให้เกิดช่องว่างในจัดเก็บภาษีสำหรับกรณีที่กองมรดกยังไม่ได้แบ่ง (อาจอยู่ในขั้นของการรวบรวมทรัพย์สิน หรือพิสูจน์ความเป็นทายาท) ซึ่งในกรณีที่เจ้ามรดกมีทรัพย์สินเยอะ (คนรวย) อาจใช้เวลาในช่วงนี้นาน เพราะมีทรัพย์สินที่ต้องรวบรวมเยอะหรือทายาทแย่งชิงมรดกกัน
3. ประเทศไทยเคยมีออกกฎหมายภาษีมรดกเพื่อเก็บภาษีมรดกมาแล้วเมื่อปี 2478 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่ยกเลิกไปในปี 2487 เนื่องจากภาษีที่เก็บได้ไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องเสียงบประมาณไปในการจัดเก็บภาษีประเภทนี้
4. ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีอยู่แล้ว 12 ประเภท (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย อากรแสตมป์ ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีป้าย และการประมาณการและชำระภาษีกลางปี) เห็นว่า ควรเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี 12 ประเภทที่มีอยู่แล้ว เป็นการดีกว่าที่จะเพิ่มการจัดเก็บภาษีประเภทใหม่ ซึ่งเพิ่มความยุ่งยากซับซ้อน และสิ้นเปลืองทรัพยากรทั้งของรัฐและผู้เสียภาษี
5. ภาษีมรดกเป็นภาษีที่รัฐต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีได้ เนื่องจาก (1) ในปัจจุบันการแพทย์มีการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาก ทำให้คนมีอายุยืนยาวขึ้น (2) ก่อนที่จะมีการรับมรดกได้นั้นต้องผ่านขั้นตอนทางกฎหมายที่ซับซ้อนยุ่งยากในกระบวนการพิสูจน์พินัยกรรมและความเป็นทายาท (Probate) ซึ่งค่อนข้างใช้ระยะเวลายาวนาน และ (3) ขั้นตอนการจัดเก็บภาษีการรับมรดกยังมีขั้นตอนหลายขั้นตอน เช่น การยื่นแบบภาษี การประเมินภาษี การอุทธรณ์ และการใช้สิทธิทางศาล ซึ่งแต่ละขั้นตอนย่อมใช้ระยะเวลานาน
6. การจัดเก็บภาษีการรับมรดกคำนวณจากมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของเจ้ามรดก ซึ่งการคำนวณมูลค่าหรือประเมินมูลค่าของทรัพย์มรดก อาจต้องอาศัยนักกฎหมายในการรวบรวมทรัพย์สิน นักบัญชี หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
7. ทรัพย์สินบางประเภทไม่มีหลักฐานทางทะเบียนและมีสภาพคล่องสูงอาจมีการโอนถ่ายเปลี่ยนมือได้ง่าย หรือทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ รัฐซึ่งไม่มีฐานข้อมูลทรัพย์สินดังกล่าวมาก่อน อาจตรวจสอบได้ยาก ทำให้มีอุปสรรคในการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ในบางประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายพิเศษ เช่น ในสหรัฐอเมริกามีกฎหมาย FATCA เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของพลเมืองสหรัฐฯ ที่อยู่ในต่างประเทศ
8. ในปัจจุบันหลายประเทศได้ยกเลิกกฎหมายภาษีมรดกเพื่อกระตุ้นให้มีเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง ส่วนนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และอินเดีย ก็ได้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเกิดปัญหาการโยกย้ายเงินทุนไปลงทุนในต่างประเทศที่ไม่มีกฎหมายภาษีมรดกมากขึ้น (Capital Flight)
9. ภาษีการรับมรดกอาจทำให้แนวคิดในการใช้ชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไป จากเดิมที่มักจะนิยมเก็บทรัพย์สินไว้ให้ลูกหลาน ก็อาจเกิดแนวคิดที่ว่า หากตนเองตายไปและมีมรดกตกทอดแก่ลูกหลาน รัฐบาลจะเข้ามาเก็บภาษีการรับมรดก ทำให้เป็นภาระของลูกหลาน ทำให้นำทรัพย์สินไปใช้จ่ายมากขึ้น เป็นการไม่ส่งเสริมการออม
10. ภาษีการรับมรดกอาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการจัดเก็บภาษีซ้อน เนื่องจากมีการเก็บภาษีสำหรับทรัพย์สินของคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ และทรัพย์สินของคนต่างชาติที่อยู่ในไทย ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวอาจตกอยู่ภายใต้กฎหมายภาษีมรดกของต่างประเทศแล้ว
อาจจะยาวซักหน่อย แต่ลองอ่านกันดูนะครับ 🙂